ปลัดขิก
กำเนิดปลัดขิก
ในสมัยก่อนนั้น ชาวบ้านอุบาสก อุบาสิกา ศาสนิกชนคนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ใกล้ชิดกับวัดวาอารามมาก แทบจะกล่าวได้ว่าชาวบ้านและชาววัดมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก นับตั้งแต่การเกิดจนกระทั่งตายและจากโลกนี้ไปก็เป็นภาระธุระของพระสงฆ์ แม้แต่ยามที่เกิดการเจ็บป่วยขึ้นแก่ลูกเด็กเล็กแดงในหมู่บ้าน ผู้คนจึงขอให้จึงขออนุเคราะห์จากพระเถระให้ปัดเป่าภยันอันตรายแก่ลูกเต้าของตน ท่านจึงได้ประกอบรูปเคารพขึ้นอย่างหนึ่งจากวัตถุ คือ ไม้เหลาเป็นรูปท่อนกลมยาว ตรงปลายคือ รูปเปรียบของพระศิวะ ตรงโคนเจาะรูร้อยเชือกสำหรับผูกเอวเด็กป้องกันภยันตรายและเสนียดจัญไรต่างๆ โดยท่านถือเอาเป็นอุปเทห์ตามคติของพราหมณ์พฤฒิบาศ ผู้ถือลึงค์ศาสนา สิ่งดังกล่าวนั้นก็คือ ศิวะลึงค์นั่นเอง
แต่พระคณาจารย์เจ้าผู้ฉลาด ท่านเปลี่ยนนามเรียกเสียใหม่ว่า ท่านปลัด แปลว่าผู้อยู่เคียงข้าง ( ปลัดคือปรัศวะข้าง ) ก็โดยวัตถุสิ่งนั้นมีรูปร่างคล้ายลึงค์ผู้ใดเห็นผูกเอวเด็กๆ ที่ไร้เดียงสา ก็เกิดการขบขัน หัวเราะกันเล่นเป็นที่สนุก ท่านปลัดเลยมีชื่อเรียกกันว่า “ ปลัดขิก”
ปลัดขิกที่ลือชื่อ
เนื่องจาก ปลัดขิกของพระพิจารย์ วัดโพธิผักไห่นั้น เริ่มแรกเราสร้างจากไม้โลดทรณง ( ไม้โลดทรณง เป็นรากไม้ ที่ลึกจากพื้นดินประมาณ ๒ เมตร เป็นไม้เนื้อสีขาว น้ำหนักเบา ) ซึ่งเป็นไม้ที่นิยมทำกันมาแต่โบราณ และแก่นไม้คูน ( แก่นไม้คูนมีลักษณะเป็นไม้เนื้อสีแดงแกมเหลือง รสฝาด ใช้กินแทนสีเสียดและใช้ฟอกหนัง ) มาลงอักขระ และที่สำคัญอาจารย์สุนทร (อาจารย์ณรงค์ ) เผือกเที่ยง ได้ทำการปลุกท่านปลัดขิกจนกระโดด แม้กระทั่งกระโดดลงจากพาน และวิ่งจนกระทั่งต้องใช้รถมอเตอร์ไซด์ ขับเพื่อไล่จับ จึงเป็นที่โด่งดัง และมีหลายคนที่นำไปเขียนเป็นหนังสืออย่างแพร่หลาย เช่นหนังสือ นะหน้าทอง